วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตดี๊ดี นั่งสมาธิดีอย่างไร

น้องหยกอายุ 10 ขวบ เป็นลูกสาวคนเล็กของคุณพ่อและคุณแม่ มีพี่ชายที่รักน้อง ชีวิตของน้องหยก เป็นชีวิตที่มีความสุข ในครอบครัวที่อบอุ่น มีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของทุกคน น้องหยกมาวัดพระธรรมกายตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่ น้องหยกชอบมาวัด รักวัด
เรามาฟังน้องหยกกันดีกว่าค่ะ

Youtube ความประทับใจในวัดพระธรรมกายของน้องหยก

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตดี๊ดีของลูกผู้ชายที่ชื่อ ณเดชน์

ชีวิตหลังบวช สุดพีค ! ของซุป’ตาร์ ณเดชน์ คูกิมิยะ

ใครๆ ก็ทราบว่า ณเดชน์เคยบวชแล้ว เมื่อเดือนธันวาคม 2558

แต่ใครๆ อาจจะยังไม่ทราบว่า หลังจากสึกแล้วเขาพูดถึงประสบการณ์ชีวิต

ในช่วงนั้นอย่างไร? นี่คือวรรคทองจากการให้สัมภาษณ์ของพระเอกชื่อดังคะ

“ผมว่าการบวชเป็นพระ เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลยครับ

ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ลูกผู้ชายเกิดมาต้องบวชสักครั้งหนึ่ง

เอหิปัสสิโก ท่านจงมาดูเถิด”

บอกตามตรงว่าหลังจากไปนั่งจิบกาแฟพร้อมกับอ่านบทสัมภาษณ์
ของซุปตาร์ ณเดชน์ คูกิมิยะ เกี่ยวกับชีวิตหลังบวช ในนิตยสารดิฉัน
อ่านแล้วเกิดแรงส่งความถี่สูงขึ้นในบัดดล

เพราะเรื่องราวดีๆ แบบนี้ต้องขยาย แต่ขอนำมาเล่าเพียงบางส่วนเท่านั้นนะคะ

หากอยากอ่านเรื่องราวเต็มๆ คงต้องไปยกเล่มดิฉัน มาอ่านกันละคะ

เคยสงสัยไหมคะว่าทำไม ลูกผู้ชายต้องบวช?

การบวชมีประโยชน์ มากกว่าการสืบประเพณีตามๆ กันมาอย่างไร?

สองคำถามนี้อาจจะติดอยู่ในใจ คนหนุ่มสาว Gen  Y  และ Gen C อีกหลายล้านคน

เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2558 ณเดชน์ คูกิมิยะ นักแสดงคิวทอง
ได้ตัดสินใจเทคิวให้การอุปสมบท แบบทันทีทันใด แล้วเขาตั้งใจอย่างจริงจัง
ว่าจะบวชให้ได้ 15 วัน หลังจากไปกราบหลวงปู่ทอง วัดนาหลวง ที่จังหวัดอุดรธานี
และการบวชครั้งนั้นของเขาเป็นการอุปสมบทหมู่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล มีคนมาบวชในโครงการนี้กว่า 800 คน

สงสัยเหมือนกันไหมคะว่า ระดับซูเปอร์สตาร์มาบวชพร้อมกับคนอีกเกือบพัน

บรรยากาศคงโกลาหลไม่น้อย เพราะใครๆ ก็คงอยากจะถ่ายรูปกับ ซุป ’ตาร์ สักครั้ง

ณเดชน์เล่าว่า ได้มาบวชโครงการนี้มีแต่ความโชคดีล้วนๆ ถึงแม้ว่าคนจะเยอะ

เพราะบวชคนเดียว ไม่รู้จะเคร่งครัดอดทนในการฝึกตนขณะบวชแค่ไหน

การบวชกับโครงการฯ ก็เป็นเหมือนโรงเรียน มีกฎระเบียบ มีตารางทำกิจกรรมชัดเจน ทำให้ได้ฝึกตัวเอง ฝึกความอดทน

ซึ่งก็มีบ้างที่บางคนไปต่อไม่ไหว แล้วขอลาสิกขาก่อนจบโครงการ

วัดนาหลวง จังหวัดอุดรธานี วัดป่าแห่งนี้มีพื้นที่ตั้งอยู่บนเขาทั้งลูก ห่างไกลจากชุมชนการเดินทางขึ้นไปค่อนข้างลำบาก

ทุกเช้าพระที่จะออกบิณฑบาตต้องเดินลงเขาด้วยเท้าเปล่า เป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตรกว่าจะไปถึงหมู่บ้าน

ในช่วงที่บวชณเดชน์นั้น ตัวเขาเองรับบาตรอยู่เฉพาะภายในพื้นที่วัดโดย
เขาต้องเดินเท้าเปล่าจากกุฏิ ลงมาถึงโรงครัวระยะทางก็ไกลประมาณ 1 กิโลเมตร

แล้วเวลาฉันภัตตาหาร ก็จะนำอาหารคาวหวานทุกชนิดใส่ลงในบาตร
ตักมาเท่าไหร่ต้องฉันให้หมด ฉันเสร็จมีพระอาจารย์มาเดินตรวจบาตรอีกด้วย

ณเดชน์เล่าว่า ตอนแรกก็ตักเยอะเพราะเป็นอาหารอีสานของโปรดทั้งนั้น  จึงฉันด้วยความทรมาน เพราะตักมาจนเกินอิ่ม ทำให้เขาได้ข้อคิดว่า

“มีมากก็ทรมาน มีน้อยก็ทรมาน ความพอดีนี่แหละสัจธรรม”

ข้อคิดที่เกิดจากประสบการณ์ที่ตรง ถึงแม้เราไม่นึกจดจำ

แต่ก็ไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตจริงไหมคะ มาถึงส่วนของกิจวัตรกิจกรรม

ที่ณเดชน์ต้องทำในแต่ละวัน พร้อมกับพระร่วมรุ่นอีก 800 รูปนั้น

ก็มีทั้งการสวดมนต์ ฟังธรรมะ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ทุกกิจกรรมล้วนคืนสู่สามัญด้วยเท้าเปล่า ที่เรียกได้ว่าติดดินอย่างเป็นรูปธรรม

โดยเฉพาะช่วยเดินจงกรมมีอยู่วันหนึ่ง ณเดชน์เดินไกลถึง 3 กิโลเมตร
เขารู้สึกระบมเท้ามาก พอกลับมาถึงกุฏิ ยิ่งรู้สึกปวดลึกเข้าไปถึงกระดูกฝ่าเท้า ชนิดที่ว่าเดินแทบไม่ได้ ทำให้เขาย้อนมองกลับไปว่า

“พระที่ท่านเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าๆ นี่สุดยอดเลย”

สิ่งที่บ่งบอกถึงความจริงจังตั้งใจอีกเรื่องหนึ่งคือ
เข้ามาบวชวันแรกเขาก็โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งเลย

ฝากบอกแม่ว่าถ้ายังไม่สึกหาละเพศยังไม่ต้องเอามาให้นะ เขาไม่ต้องการติดต่อกับใคร ขอตัดขาดทุกอย่าง

เพราะหากลงมือทำอะไรเขาก็ทำให้ดีที่สุด เมื่อเป็นพระก็ต้องสำรวม ให้เปะ!

จนตัวเขาเองเริ่มรู้สึกเครียด และกังวลกับการไปให้ถึงจุดนั้น
แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง จึงได้ทำความเข้าใจกับเพศภาวะความเป็นพระ

เขาก็เริ่มปล่อยวางความยึดติด ความเคร่งเครียดก็คลี่คลายลง
เกิดความโล่ง ความสบาย จนได้พบความสงบ

ณเดชน์บอกว่า ตอนนั้นเกิดข้อคิดอะไรหลายๆ อย่างที่อธิบายได้ยาก ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ

มีประโยคบาลีประโยคหนึ่งที่ ณเดชน์จดจำได้แม่นยำคือ

“เอหิปัสสิโก ท่านจงมาดูเถิด”


การบวชเป็นพระถือเป็นช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับตัวเอง ปลอดจากความกังวล ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องครอบครัว และคนรอบข้าง

ทำให้เขามีเวลาหันกลับมามองตัวเอง แล้วทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ทำให้มองปัญหาหลายๆอย่าง ด้วยความเข้าใจ ไม่กลัวที่จะเผชิญกับปัญหา แม้ว่าไม่เคยเผชิญกับมันมาก่อน

ซึ่งพระอาจารย์ก็บอกกับเขาว่า “สิ่งที่เรากลัวคือเรากลัวจิตใจ
กลัวความคิดของเราเองมากกว่า”

การใช้ชีวิตหลังบวชในวงการบันเทิง เขายอมรับว่า แม้จะนำสิ่งที่ฝึกฝนตอนเป็นพระ
มาผสมผสานกับชีวิตทางโลกได้ไม่ทั้งหมด แต่เขาก็รับมือกับมันได้ดีขึ้น

“อาจจะเป็นเพราะว่าผมอยู่กับความวุ่นวาย จริงๆ ทุกคนนั่นแหละ การอยู่ในสังคมมักจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น มีปัญหา มีความพอใจไม่พอใจ

ที่จำมาทำ หลังจากสึกแล้ว คือทำสมาธิ เช่น เวลาที่มันวุ่นวายมากๆ ผมก็จะหาเวลาหลับตาสักพัก ทำให้เกิดความสงบเป็นหนทางดับทุกข์จริงๆ

ณเดชน์ยอมรับว่า การบวชทำให้เขารู้วิธีรับมือกับปัญหาอะไรหลายๆ อย่าง มีภูมิคุ้มกันในตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องอารมณ์ เรื่องคน เรื่องงาน และสิ่งแวดล้อม จิตใจนิ่งมากขึ้น มีกระบวนการคิดที่ดีขึ้น”

..ผมว่าการบวชเป็นพระเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลยครับ..


อีกหนึ่งแง่มุมที่เขาพูดถึง นั่นคือการบวชนอกจากจะเกิด ประโยชน์ตนแล้ว
ก็ยังเป็น ประโยชน์ท่าน อีกด้วย และ ท่านที่หมายถึงนั้น คือพ่อแม่ผู้ปกครอง คะ

“ผมเชื่อว่าผู้ปกครอง เวลาลูกหลานบวชก็ปลื้มใจ

เราชาวพุทธได้เห็นชายผ้าเหลือง เป็นความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่ จริงๆ เป็นเรื่องที่ดี

ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ลูกผู้ชายเกิดมาต้องบวชสักครั้งหนึ่ง

ถ้าใครไม่บวชนี่ ถือว่าพลาดไหม พลาดมั๊ย พลาดในฐานะชาวพุทธ นี่คือสิ่งที่คุณควรจะเรียนรู้”


แม้ว่า ณเดชน์จะย้ำว่าการบวชเป็นพระนั้น ทำให้เขาได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ปล่อยวางภาระกิจการงาน

แต่ความจริงแล้วการถือเพศภาวะเป็นพระสงฆ์
ก็ใช่ว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว เพราะเมื่อบวชเป็นพระก็มีภาระหน้าที่ของพระ
คือต้องดูแลญาติโยม คอยให้คำปรึกษา พระสงฆ์เป็นผู้ที่ทำให้ศาสนาดำรงอยู่
ด้วยการโปรดสัตว์ และดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้า

ประตูสู่เส้นทางธรรมนั้นเปิดกว้างเสมอ หากชายผู้ได้โอกาส มุ่งหวังการถือครองเพศสมณะ แต่ก็ใช่ว่าลูกผู้ชายทุกคน จะกล้าหาญตัดสินใจบวชพระกันทุกคน

การฝึกฝืนความเคยชินเดิมๆ อดในสิ่งที่อยากได้แต่ไม่ได้

ทนในสิ่งที่ไม่อยากได้แต่กลับได้ ต้องอาศัยกำลังใจสูงส่ง

และที่สำคัญต้องถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเต็มเปี่ยม


ณเดชน์ คูกิมิยะ ดาราชื่อดังที่ไม่มีข่าวเสียหาย
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวงการบันเทิง ถึงแม้เขาบอกว่าความเป็นซูเปอร์สตาร์
เป็นสิ่งที่คนอื่นมอบให้ เขาเองเป็นเพียงดาราธรรมดาคนหนึ่ง
ที่อาจจะมีโอกาสทำงานเยอะกว่าแต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์

คำให้สัมภาษณ์ที่ส่องสะท้อนความคิดจิตใจ ของนักแสดงหนุ่มคนนี้ คงทำให้เราได้เห็นตัวตนดีงามภายใน ที่วันนี้ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์ขึ้น

ผ่านบทฝึกความเป็นพระ อันเป็นเส้นทางอริยะทางเดียวกับพระพุทธเจ้า
ถึงแม้จะบวชเป็นระยะเวลาแสนสั้นแต่ดอกผลต้นพันธุ์ที่ได้นั้น งอกงามดีเหลือเกิน ทำให้ดิฉันนึกถึงประโยคที่กล่าวว่า

“หนึ่งนาทีที่เป็นบัณฑิต ดีกว่าตลอดชีวิตที่เป็นพาล”

ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่เกิดขึ้นด้วยคะ

เรื่องโดย. คนธรรมรำพัน

Cr.เนื้อความบทสัมภาษณ์จาก นิตยสารดิฉัน ฉบับ เดือนมีนาคม 2559

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

ทำบุญแล้วชีวิตจะดี๊ดีมีสุข

ตั้งแต่มาวัดพระธรรมกาย ดิฉันก็เข้าใจเรื่องบุญมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งการทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา

แปลกนะ...คนไม่มาวัดพระธรรมกาย เขามักจะด่าว่าวัด
แต่คนมาวัด จะรักวัด เต็มใจที่จะทำบุญกับวัดอย่างเต็มกำลัง เพราะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น มีคุณค่ากับชีวิตของเขาและพระศาสนาอย่างไร

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ทำบุญทุกบุญกับวัดพระธรรมกายอย่างเต็มกำลัง มาตลอดเกือบ 30 ปี
ดิฉันทำอย่างมีความสุข ปลื้มปิติในบุญ ทรัพย์ที่ออกไปดูเหมือนจะลดลง แต่กลับมีทางมาแห่งทรัพย์ให้เพิ่มมากขึ้น
ทุกอย่างในชีวิตราบรื่น คนในครอบครัวมีความสุข สามัคคีเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน
ผิดกับหลายๆครอบครัว ที่แก่งแย่งกัน เพราะไม่คุ้นกับการให้

ยิ่งได้ทำบุญในโครงการในความดำริของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ฉันยิ่งปลื้ม เพราะโครงการของท่านเป็นโครงการสร้างแต่สิ่งที่ดี ให้กับประเทศไทยและชาวโลก เช่นโครงการบวชพระแสนรูป โครงการตักบาตรหนึ่งล้านรูปทั่วไทย
โครงการเด็กดี V-star  ฯลฯ
ทุกโครงการไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ มีเงินเป็นพันล้านก็ใช่ว่าจะทำได้ ต้องเกิดจากความเข้าใจในบุญร่วมกัน ของคนนับหมื่นนับแสนคน

เงินของฉันเพียงเล็กน้อย แต่เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ
ฉันหาทรัพย์มาด้วยความเหนื่อยยาก ฉันปลื้มใจที่ทรัพย์นั้น ถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า มีประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

คุณล่ะ....ใช้ทรัพย์ที่หามาได้ หมดไปกับสิ่งใด
แล้วเมื่อตายไป คุณจะเอาอะไรไปได้บ้าง

"บุญ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจใสสะอาด ปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมัว ก้าวขึ้นสู่ภูมิที่ดี เกิดขึ้นจากการที่ใจสงบทำให้เลือก คิดเฉพาะสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร ที่เป็นประโยชน์ แล้วพูดดี ทำดี ตามที่คิดนั้น
คนทั่วไปแม้จะมองไม่เห็น "บุญ" แต่ก็สามารถรู้อาการของบุญ หรือผลของบุญได้ คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นสุข"

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตดี๊ดี...ต้องมีเป้าหมายที่ถูกต้อง

ทำไมต้องตั้งเป้าหมายชีวิต

      เป้าหมายชีวิตมีความสำคัญมาก เพราะเป็นจุดหมายปลายทางของการดำเนินชีวิตของเรา หากเรามีเป้าหมาย ความคิด คำพูด และการกระทำทุกอย่างในแต่ละวัน จะมุ่งไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้  หากเราไม่ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ เราก็จะไม่ต่างอะไรกับนกกาที่หากินเพื่อความอยู่รอดไปวันหนึ่ง ๆ จนหมดอายุขัยตายจากโลกนี้ไป คนมีเป้าหมายชีวิตเปรียบเสมือน เรือเดินสมุทรที่มีหางเสือ มีกัปตันคอยชี้ทางว่าจะนำเรือมุ่งหน้าไปทางไหน เรือเดินสมุทรลำนี้ จึงต่างจากขอนไม้ที่ล่องลอยอย่างไร้จุดหมายอยู่กลางทะเล ถูกคลื่นลูกนั้นลูกนี้ซัดไปมาให้เคว้งคว้าง และผุพังจมไปตามกาลเวลา

เป้าหมายที่ดี ย่อมนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ดีที่ถูกต้อง

      การมีเป้าหมายเป็นสิ่งที่ดี  แต่จะดีอย่างแท้จริง ถ้าเป้าหมายนั้นถูกต้องตามความเป็นจริง จะหาคนดีจริงสักคนในโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่มีบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐมากว่า 2500 ปี มีประวัติที่ยืนยันคุณธรรมความดีที่สร้างไว้มายาวนาน นั่นคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงเป็นบุคคลที่ควรแก่การนำมาเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต

      พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้กล่าวถึง เป้าหมายชีวิตของมนุษย์ไว้ 3 ระดับ

     1) เป้าหมายชีวิตในระดับต้น คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อประโยชน์ในชาตินี้ คือเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต มีครอบครัวที่อบอุ่น มีอาชีพการงานมั่นคง สุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม มีความเจริญก้าวหน้าตามความปรารถนาและความถนัดของตน

     2) เป้าหมายชีวิตในระดับกลาง คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อประโยชน์ในชาติหน้าคือ นอกจากจะพยายามตั้งฐานะของตนให้ได้แล้ว ก็จะตั้งใจสร้างบุญกุศลอย่างเต็มที่ในทุก ๆ โอกาสที่อำนวยให้ เพื่อสะสมเป็นเสบียงในภพชาติต่อไป เพราะว่าตายแล้วไม่สูญ ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก และมีสิ่งเดียวที่จะนำติดตัวไปได้ ก็คือ “บุญ” เท่านั้น จึงควรตั้งใจสั่งสมความดีทุกรูปแบบเพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางข้ามภพข้ามชาติ และเป็นปัจจัยในการบรรลุเป้าหมายชีวิตขั้นสูงสุด จึงจะคุ้มค่ากับการเกิดมาเป็นมนุษย์

     3) เป้าหมายชีวิตในระดับสูงสุด คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง คือเข้าพระนิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นเหตุแห่งทุกข์อีกต่อไป
     การจะหมดทุกข์ได้ต้องมีความเพียรหมั่นฝึกฝนอบรมตนเองอย่างยิ่งยวด นับภพนับชาติไม่ถ้วน เรียกว่า การสร้างบารมี ๑๐ ทัศ คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย  ซึ่งต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคมากมายคือ “กิเลสตน” “กิเลสคนอื่น” และ “วิบากกรรมชั่ว” ที่ตนเคยทำผิดพลาดไว้ในอดีตไปตลอดเส้นทาง จนกว่าบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จึงบรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิต

      ดังนั้น  มีเราความเข้าใจถูกว่า เป้าหมายสูงสุดของชีวิตคืออะไร แม้ว่าจะประกอบอาชีพ ทำมหาเลี้ยงครอบครัว ก็ต้องไม่ประมาทขวนขวายสร้างความดี สั่งสมบุญกุศล ด้วยให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างเต็มที่ ให้การเกิดมาเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ มุ่งตรงสู่เป้าหมายทั้ง 3

ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  ท่านได้สรุปย่อถึงเป้าหมายและสิ่งที่ต้องทำของการเกิดมาเป็นมนุษย์ไว้ว่า

                          เกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี

                                       นี่แหละ  เหตุแห่ง...ชีวิตดี๊ดี...ของฉัน


วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

เกิดมาสร้างบารมี

มีใครเหมือนฉันไหมคะ

ตอนเด็กๆฉันมีคำถามกับตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม มีคนบอกฉันว่า.....เกิดมาใช้กรรม....
ฉันฟังแล้วนึกค้านในใจว่า แล้วเมื่อไหร่จะใช้หมดละ เราสร้างกรรมเพิ่มขึ้นทุกวัน แล้วชีวิตต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมอย่างนั้นหรือ ถามใครๆ เขาก็บอกฉันว่า....เกิดมาใช้กรรม...ยิ่งฟังฉันยิ่งหมดอาลัยในชีวิต

จนวันหนึ่งเมื่อปีพ.ศ.2530 ฉันได้มาวัดพระธรรมกาย ฉันเห็นป้ายหนึ่งเขียนว่า.....เกิดมาสร้างบารมี.....
อ่านแล้วรู้สึกว่า นี่คือคำตอบที่ฉันหามานาน แม้จะยังไม่เข้าใจคำว่าสร้างบารมีมากนัก แต่คำนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า ชีวิตนี้มีความหวัง ยิ่งมาวัดพระธรรมกาย ฉันยิ่งมีความสุข เพราะยิ่งเข้าใจเรื่องราวความจริงของชีวิต

คุณล่ะ...รู้หรือยังว่า  เกิดมาทำไม

เพลงเกิดมาสร้างบารมี https://youtu.be/kDwxVJD_qI4

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

ทำไมจึงรักวัดพระธรรมกาย

มีคนถามฉันว่า ทำไมฉันรักวัดพระธรรมกาย

เป็นคำถามที่ฉันต้องกลับมาถามตัวเอง นั่นสิทำไมฉันจึงรักวัดพระธรรมกาย
 อาจเป็นเพราะ

1.ฉันเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมก่อสร้างวัด
2.ฉันรู้สึกเป็นเจ้าของวัด  วัดพระธรรมกายเป็นวัดของฉัน


แต่ที่สำคัญที่สุด

วัดพระธรรมกาย เป็นสถานที่ที่ทำให้ฉันได้รู้จักเป้าหมายชีวิต


จะมีใครสักกี่คนบนโลกที่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม   และมีเป้าหมายอะไรในการเกิดมาเป็นมนุษย์


นี่คือสิ่งที่วัดพระธรรมกายสอนฉัน


ฉันจึงรักวัดพระธรรมกาย